首页    期刊浏览 2025年06月24日 星期二
登录注册

文章基本信息

  • 标题:การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบSPARPS เพื่อเสริมสร้างทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย
  • 本地全文:下载
  • 作者:พันธุ์สีดา, ภัทรดรา ; ชัชพงศ์, อาจารย์ ดร. พัฒนา ; ขจรรุ่งศิลป์, อาจารย์ ดร. สุจินดา
  • 期刊名称:วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์
  • 出版年度:2009
  • 卷号:9
  • 期号:1
  • 语种:English
  • 出版社:วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์
  • 摘要:การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง ทดสอบ ประสิทธิภาพ และเผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ในการเสริมสร้างทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ 6 ขั้น ดังนี้ ระยะที่ 1 การสร้างรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ขั้นที่ 1 สังเคราะห์รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ประกอบด้วยขั้นการ เรียนการสอน 6 ขั้น คือ ขั้นกระตุ้นเร้า (Stimulus : S) ขั้น วางแผน (Plan : P) ขั้นเรียนรู้ (Active Learning : A) ขั้นซ้ำย้ำ ทวน (Repeat : R) ขั้นนำเสนอ (Presentation : P) และขั้น แบ่งปัน (Share Ideas : S) ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบการเรียน การสอนแบบ SPARPS โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการสร้างรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ตามความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด มี ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.00-4.60 ขั้นที่ 3 สร้างเครื่องมือประกอบการ ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS คือแผนการจัด ประสบการณ์ แบบสังเกตทักษะทางภาษา และแบบทดสอบ วัดทักษะทางภาษา และขั้นที่ 4 ทดลองนำร่องรูปแบบการ เรียนการสอนแบบ SPARPS โดยทดลองสอนกับเด็กปฐมวัย ที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี จำนวน 27 คน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ระยะที่ 2 การทดสอบประสิทธิภาพรูปแบบการ เรียนการสอนแบบ SPARPS ขั้นที่ 5 ทดลองใช้รูปแบบการ เรียนการสอนแบบ SPARPS เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดย กำ หนดแบบแผนการทดลองเป็นแบบ Randomized Control-Group Pretest-Posttest Design กลุ่มตัวอย่างเป็น เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี โรงเรียนอนุบาลวัดนาง นอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 ที่ได้จากการสุ่มแบบ แบ่งกลุ่มจากประชากร เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 1 ห้องเรียน และกลุ่มควบคุม จำนวน 1 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 25 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ t-test for dependent samples และ independent samples ผลการทดสอบ ประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ดังนี้ 1) เด็กปฐมวัยมีทักษะทางภาษาเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอน แบบ SPARPS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งด้าน การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน 2) เด็กปฐมวัยมีทักษะทางภาษาด้านการฟังเพิ่มขึ้นหลังจาก ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการ เรียนการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด ของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS และเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการ เรียนการสอนแบบปกติมีทักษะทางภาษาก่อนการทดลอง แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งด้านการฟัง การ พูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน 4) เด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของ รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS มีทักษะทางภาษา หลังการทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอน แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งด้านการ ฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน ระยะที่ 3 การเผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอน แบบ SPARPS ขั้นที่ 6 เผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS โดยครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของ เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี 4-5 ปี และ 5-6 ปี จำนวน 6 คน ชั้นเรียนละ 2 คน โรงเรียนวัดหนัง สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2550 ที่สมัครใจนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ไปทดลองใช้ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลการเผยแพร่ รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ตามความคิดเห็น ของครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัย ที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึง มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50-5.00 และความคิดเห็นของ ครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัยที่มี อายุระหว่าง 3-4 ปี และ 5-6 ปี มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50-4.00
国家哲学社会科学文献中心版权所有